Home |
วิตามิน D ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูกและฟัน หากร่างกายขาดวิตามิน D จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง ทำให้กระดูกอ่อนแอ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกเปราะในวัยผู้สูงอายุและในเด็กอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกอ่อนหรือโรคขาโก่ง (rickets) ได้
วิตามิน D มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการขาดวิตามิน D มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย นอกจากนี้วิตามิน D ยังมีบทบาทในการลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังหลายประเภท
การได้รับวิตามิน D อย่างเพียงพออาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด วิตามิน D ช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในกระแสเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการสะสมของแคลเซียมในผนังหลอดเลือดและหัวใจ การสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) หรือโรคหัวใจขาดเลือด
นอกจากนี้ วิตามิน D ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
วิตามิน D มีความเกี่ยวข้องกับการบำรุงสมองและสุขภาพจิต การขาดวิตามิน D อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะวิตกกังวล วิตามิน D ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน ซึ่งมีผลในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก จึงช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตและลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้
การได้รับวิตามิน D อย่างเพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากวิตามิน D มีบทบาทในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความไวต่ออินซูลิน นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าวิตามิน D อาจมีส่วนในการควบคุมน้ำหนักและป้องกันภาวะอ้วน
มีการศึกษาพบว่าการมีระดับวิตามิน D ในร่างกายที่เพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากวิตามิน D มีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์และช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งวิตามิน D
วิตามิน D สามารถหาได้จากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง (แซลมอน ซาร์ดีน) ตับ น้ำมันตับปลา ไข่แดง และผลิตภัณฑ์นมที่เสริมวิตามิน D อย่างไรก็ตาม แหล่งสำคัญของวิตามิน D คือการสัมผัสแสงแดด การได้รับแสงแดดประมาณ 10-30 นาทีต่อวันจะช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามิน D ได้เพียงพอ